บทที่ 1 – แสงแดดที่แผดเผา
แสงแดดปลายฝนต้นหนาวในวันนี้ช่างร้อนแรงเสียยิ่งกว่ากลางเดือนเมษายน เฟิร์นยืนนิ่งอยู่กลางสนามหญ้ากว้างใหญ่ โลกทั้งใบหมุนคว้าง มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบจนชาปลายนิ้ว ลมหายใจของเธอติดขัด เหมือนมีอะไรบางอย่างมาบีบรัดทรวงอก
“หนูโอเคมั้ย?” เสียงของเพื่อนดังแว่วมา แต่กลับรู้สึกเหมือนมาจากอีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลออกไป เฟิร์นพยายามฝืนยิ้มตอบ ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวจะมืดดับลงไปในความว่างเปล่า...
บทที่ 2 – ห้องฉุกเฉิน
เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะ หมอภูผาเปิดแฟ้มคนไข้พลางก้าวเข้าสู่ห้องฉุกเฉินอย่างเร่งรีบ “ผู้หญิง ม.ปลาย เป็นลมกลางสนาม หายใจเร็ว มือเกร็ง ไม่มีไข้” ข้อมูลในแฟ้มบ่งบอกอาการของคนไข้ที่รออยู่ตรงหน้า
บนเตียงคนไข้ เด็กสาวร่างบางนอนนิ่ง ใบหน้าซีดเซียวราวกับถูกแสงแดดพัดปลิวไปได้ทุกเมื่อ แม่ของเธอนั่งอยู่ข้างเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลปนความเหนื่อยล้า “หมอช่วยดูให้ทีค่ะ เป็นลมบ่อยเหลือเกินช่วงนี้ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็จะล้มอีกแล้ว”
บทที่ 3 – การสังเกตของหมอภูผา
หมอภูผายืนมองคนไข้โดยไม่เร่งรีบ สายตาของเขากวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผิวหนังของเธอดูแห้งผากจนเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนัง ริมฝีปากลอกเป็นขุย และน้ำหนักตัวก็น้อยกว่ามาตรฐานอย่างเห็นได้ชัด แฟ้มประวัติระบุค่าความดันโลหิต 105/70 อัตราการเต้นของหัวใจ 118 ครั้งต่อนาที และอัตราการหายใจ 28 ครั้งต่อนาที มือของเธอเย็นเฉียบ ปลายนิ้วชา
เขาหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ขึ้นมาเขียนอะไรบางอย่างลงไปช้าๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หนูดื่มน้ำน้อยใช่ไหมครับ?”
เฟิร์นพยักหน้าเบาๆ
“ปกติวันนึงดื่มประมาณเท่าไหร่ครับ?” หมอภูผาถามต่อ
“ขวดครึ่งค่ะ ประมาณ 750 ซีซี” เฟิร์นตอบเสียงแผ่ว
“แล้วช่วงนี้กินข้าวไหวมั้ยครับ?”
“...บางวันไม่หิวค่ะ บางวันเครียดจนลืมกิน”
บทที่ 4 – ใต้พื้นผิวแห่งความเครียด
แม่ของเฟิร์นขอตัวออกไปรับโทรศัพท์ หมอภูผาเหลือบมองโทรศัพท์มือถือของเฟิร์นที่วางอยู่ข้างเตียง หน้าจอแตกร้าว มีข้อความค้างอยู่บนหน้าจอว่า “ขอโทษที่ไม่ได้บอกแต่แรก... เราคงไปกันไม่ได้จริงๆ” เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่เลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ขึ้นเล็กน้อย
“แฟนจะไปเรียนต่อต่างประเทศเหรอครับ?” หมอภูผาถามเบาๆ
เฟิร์นเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “...หนูไม่ได้บอกใครเลย”
“แต่แววตาหนูบอกหมดแล้ว” หมอภูผาตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ
ภาพของตัวเขาเองเมื่อสิบปีก่อนผุดขึ้นมาในห้วงความคิด — เวรไอซียูแรกในชีวิต เขาเคยเป็นลมกลางดึกเพราะความเครียด อดข้าว และกาแฟสามแก้ว ตอนนั้นมีอาจารย์คนหนึ่งเดินเข้ามาแล้วพูดกับเขาว่า: “อย่าคิดว่าร่างกายเราโกหก ถ้าใจไม่บอกก่อน ร่างกายจะตะโกนบอกเอง”
บทที่ 5 – การดูแลและลมหายใจที่กลับคืน
หมอภูผาให้เฟิร์นลองหายใจช้าๆ ใส่ถุงกระดาษ เตรียมน้ำเกลือแร่ให้เธอจิบช้าๆ เขาไม่ได้สั่งตรวจ CT หรือให้นอนโรงพยาบาล แต่จดนัดติดตามอาการในอีกหนึ่งสัปดาห์ พร้อมกับคำสั่งพิเศษ “กลับบ้านไป เขียนลงสมุดว่าวันนี้หนูดื่มน้ำเท่าไหร่ หายใจเร็วตอนไหน แล้วทำอะไรตอนนั้น”
เฟิร์นพยักหน้าช้าๆ น้ำตาซึมออกมา... คราวนี้ไม่ใช่จากร่างกาย แต่เป็นจากใจของเธอเอง
บทที่ 6 – สมุดบันทึกสีขาว
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป เฟิร์นนั่งอยู่หน้าหมอภูผาอีกครั้ง พร้อมสมุดบันทึกปกขาวเล่มเล็กๆ ในมือ ใบหน้าของเธอดูมีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย แม้ดวงตาจะยังคงฉายแววกังวลอยู่บ้าง
“เป็นไงบ้างครับ?” หมอภูผาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น
เฟิร์นเปิดสมุดบันทึกที่เต็มไปด้วยตัวหนังสือและเครื่องหมายขีดฆ่า เธอเล่าถึงวันที่ต้องฝืนใจดื่มน้ำให้มากขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัว เล่าถึงการหายใจที่เริ่มช้าลงเมื่อเธอตั้งใจจดจ่อกับการหายใจเข้าออก เล่าถึงอาหารบางมื้อที่เธอสามารถฝืนกินได้มากขึ้น และบางมื้อที่ยังคงยากเย็น
“หนูพยายามดื่มน้ำแล้วค่ะ แต่ก็ยังไม่ถึงที่หมอบอกเลย” เฟิร์นพูดพร้อมชี้ไปที่ตัวเลขปริมาณน้ำที่เธอบันทึกไว้
หมอภูผาพยักหน้าเข้าใจ “ไม่เป็นไรครับ ค่อยๆ ปรับไป ร่างกายเราต้องการเวลาในการปรับตัว แค่หนูเริ่มรับรู้และพยายาม นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดแล้ว”
เขาพลิกดูหน้ากระดาษที่เฟิร์นบันทึกเหตุการณ์ที่ทำให้หายใจเร็ว เธอเขียนถึงช่วงเวลาที่แอบเปิดดูโซเชียลมีเดียของแฟนเก่า และพบว่าเขาโพสต์รูปคู่กับเพื่อนร่วมห้องที่สนามบิน ความรู้สึกเจ็บปวดเสียดแทงเหมือนโดนมีดกรีด การหายใจของเธอเริ่มถี่รัวราวกับคนกำลังจะจมน้ำ
บทที่ 7 – กายกับใจที่เชื่อมโยง
“หมอภูผาคะ... หนูไม่เข้าใจเลย ทำไมแค่คิดเรื่องเครียดๆ ร่างกายหนูถึงเป็นแบบนี้” เฟิร์นถามเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า
หมอภูผาวางปากกาลงบนโต๊ะ เลื่อนแฟ้มประวัติออกไปเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือและมองมาที่เฟิร์นด้วยสายตาจริงจัง
“ร่างกายกับจิตใจของเรามันเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออกครับ เวลาที่เราเครียด กังวล หรือเสียใจมากๆ ระบบประสาทอัตโนมัติของเราจะทำงานผิดปกติ มันจะสั่งการให้ร่างกายเข้าสู่โหมดเตรียมพร้อมรับมือกับอันตราย เหมือนเวลาที่เราเจอเสืออยู่ในป่า หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น เพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อให้พร้อมวิ่งหนี”
เขาชี้ไปที่ค่าความดันและอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงเกินปกติในแฟ้มประวัติของเฟิร์น
“อาการที่หนูเป็น เช่น หายใจเร็ว มือเกร็ง หรือเป็นลมบ่อยๆ พวกนี้เป็นกลไกป้องกันตัวเองของร่างกายที่ทำงานหนักเกินไปครับ เมื่อเราหายใจถี่เกินไปโดยไม่รู้ตัว ร่างกายจะขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปมากเกินไป ทำให้เลือดมีความเป็นด่างมากขึ้น แล้วจะเกิดอาการมือเกร็ง ชาปลายมือปลายเท้าได้ อาการเป็นลมก็คล้ายกัน คือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอชั่วขณะนึง”
เฟิร์นก้มหน้าลงอย่างครุ่นคิด “แต่หนูไม่ได้วิ่งหนีอะไรนี่คะ...”
“ถูกต้องครับ แต่ใจหนูคิดว่ามันอันตราย ใจหนูกำลังเผชิญหน้ากับความเจ็บปวด
เหมือนมีเสือร้ายอยู่ในใจ และร่างกายก็ตอบสนองตามที่ใจสั่ง”
หมอภูผาอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ยิ่งเราไม่ดูแลตัวเอง กินน้ำน้อย กินข้าวน้อย พักผ่อนไม่พอ
ร่างกายก็ยิ่งอ่อนแอลงไปอีก ทำให้กลไกเหล่านี้ทำงานผิดพลาดได้ง่ายขึ้นไปอีกครับ”
บทที่ 8 – ยาที่ไม่ใช่ยา
“แล้วหนูต้องทำยังไงคะหมอ?” เฟิร์นเงยหน้าขึ้นมองหมอภูผา แววตาเต็มไปด้วยความหวัง
หมอภูผายิ้ม “หนูได้เริ่มทำไปแล้วครึ่งหนึ่งไงครับ การบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง การพยายามดื่มน้ำ การพยายามกินข้าว นั่นคือการรับรู้และดูแลร่างกายตัวเองเบื้องต้น”
เขาหยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเขียนบางอย่างลงในกระดาษพร้อมส่งให้เฟิร์น
“หมอไม่ได้ให้ยาอะไรหนูเลยนะครับ สิ่งที่หนูต้องทำคือ ‘ยาใจ’ ของหนูเอง”
ในกระดาษมีหัวข้อใหญ่ๆ เขียนไว้ว่า “สูตรยาใจฉบับเฟิร์น” และมีข้อความย่อยๆ ดังนี้:
- น้ำเปล่า: ดื่มวันละ 8 แก้วเป็นอย่างน้อย (ค่อยๆ จิบทีละน้อยตลอดวัน ไม่ใช่ดื่มรวดเดียว)
- อาหาร: กินให้ครบ 3 มื้อ (เน้นอาหารที่มีประโยชน์ งดของทอด ของมัน)
- การนอน: นอนให้พอ 7–8 ชั่วโมง (พยายามเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา)
- การหายใจ: ฝึกหายใจช้าๆ ลึกๆ (สูดลมหายใจเข้าช้าๆ นับ 1–4 กลั้นไว้ 1–2 แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ นับ 1–6 ทำซ้ำ 10 ครั้งเมื่อรู้สึกเครียด)
- การเคลื่อนไหว: ออกกำลังกายเบาๆ (เดินเล่น โยคะ หรือกิจกรรมที่ชอบ)
- การระบาย: หาทางระบายความรู้สึก (คุยกับคนที่ไว้ใจ เขียนไดอารี่ หรือทำกิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย)
- การให้อภัย: ให้อภัยตัวเองและผู้อื่น (เข้าใจว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต)
“สิ่งที่หมอให้ไปอาจจะดูเป็นเรื่องพื้นฐานนะครับ แต่เชื่อเถอะว่ามันมีผลต่อร่างกายและจิตใจหนูอย่างมหาศาล” หมอภูผาพูดอย่างหนักแน่น “เราต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรงก่อน ถึงจะมีแรงไปจัดการกับเรื่องในใจได้”
เฟิร์นมองดูรายการในกระดาษอย่างตั้งใจ เธอพับมันเก็บลงในสมุดบันทึกสีขาวเล่มนั้น
บทที่ 9 – แสงแดดที่อบอุ่น
สามเดือนผ่านไป เฟิร์นเดินเข้ามาในคลินิกของหมอภูผาด้วยรอยยิ้มสดใส ใบหน้าของเธอดูกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง น้ำหนักขึ้นมาเล็กน้อย ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“สวัสดีค่ะหมอภูผา” เฟิร์นทักทายอย่างเป็นกันเอง เธอไม่ได้มีนัดหมาย แต่แวะมาเพื่อขอบคุณ
“สวัสดีครับเฟิร์น ดูดีขึ้นเยอะเลยนะครับ” หมอภูผายิ้มตอบ เขาจำเธอได้ทันที
“ใช่ค่ะ หนูทำตามที่หมอบอกทุกอย่างเลย ดื่มน้ำเยอะขึ้น กินข้าวได้เยอะขึ้น พยายามนอนให้เป็นเวลา หนูฝึกหายใจช้าๆ ทุกครั้งที่รู้สึกเครียด เวลาอ่านหนังสือสอบ แล้วก็เขียนไดอารี่ทุกคืนเลยค่ะ”
“แล้วเรื่องนั้น...” หมอภูผาชี้ไปที่อกของเฟิร์น “ยังเจ็บอยู่ไหมครับ?”
เฟิร์นยิ้มเล็กน้อย “ก็ยังมีบ้างค่ะ แต่ไม่มากเท่าเมื่อก่อนแล้ว หนูเข้าใจแล้วว่าบางทีเรื่องบางเรื่องมันก็เป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะดูแลตัวเองได้”
“เมื่อก่อนหนูคิดว่าเรื่องสุขภาพจิตเป็นเรื่องไกลตัว ไม่สำคัญเท่าสุขภาพกาย แต่ตอนนี้หนูเข้าใจแล้วค่ะว่าทั้งสองอย่างมันไปด้วยกันจริงๆ”
หมอภูผาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “นั่นแหละครับหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดี หนูเก่งมากครับที่ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมาได้ด้วยตัวเอง”
เฟิร์นเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างคลินิก แสงแดดยามบ่ายสาดส่องเข้ามา เป็นแสงแดดที่อบอุ่น ไม่ได้แผดเผาเหมือนวันนั้นอีกต่อไป
บทที่ 10 – ต้นกล้าแห่งความเข้าใจ
หลังจากนั้นไม่นาน เฟิร์นได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในคณะที่เธอใฝ่ฝัน เธอเลือกเรียนในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการให้คำปรึกษาและสุขภาพจิต เธออยากเป็นคนที่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นให้เข้าใจร่างกายและจิตใจของตัวเอง เหมือนที่หมอภูผาได้ช่วยเธอไว้
บางครั้งเธอจะยังคงแวะเวียนไปเยี่ยมคลินิกของหมอภูผา ไม่ใช่ในฐานะคนไข้ แต่ในฐานะคนคุ้นเคยที่ต้องการแลกเปลี่ยนเรื่องราว หมอภูผาเองก็ยังคงทำงานหนักในฐานะแพทย์ แต่ประสบการณ์ของเฟิร์นทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลผู้ป่วย ในมุมมองที่กว้างกว่าแค่การรักษาอาการทางกาย
เรื่องราวของเฟิร์นและหมอภูผาเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ในวงการแพทย์ ที่ตอกย้ำให้เห็นว่าการรักษาที่แท้จริงอาจไม่ใช่แค่การให้ยา แต่คือการสร้างความเข้าใจ การฟังอย่างตั้งใจ และการเป็นพลังเล็กๆ ที่จุดประกายให้ผู้ป่วยได้ค้นพบ “ยาใจ” ของตัวเอง