บทที่ 1 – ลู่วิ่งที่พาเธอล้ม
เสียงเพลงจังหวะเร้าใจจากลำโพงในฟิตเนสยังคงดังกระหึ่ม แต่สำหรับหญิงสาววัย 20 ปีที่ชื่อ "แพร" ในตอนนี้ มันกลับกลายเป็นเสียงอื้ออึงที่ห่างไกลออกไป แพรพยายามเร่งฝีเท้าบนลู่วิ่งให้เร็วขึ้นอีกนิดตามโปรแกรมออกกำลังกายประจำวัน ทว่าจู่ๆ โลกทั้งใบก็เหมือนถูกบีบให้แคบลง แสงไฟนีออนสว่างจ้าเริ่มหรี่ลงเป็นจุดเล็กๆ ตรงกลางสายตา ความรู้สึกหน้ามืดคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหัวใจที่เต้นระรัวราวกับกลองศึก
“แพร! เป็นอะไรไป!” เสียงเพื่อนที่วิ่งอยู่ข้างๆ ตะโกนเรียกด้วยความตกใจ เมื่อเห็นแพรหน้าซีดเผือดและทรุดตัวลงนั่งทันทีบนลู่วิ่งที่ยังคงหมุนอยู่
แพรพยายามหายใจเข้าลึกๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบรัดลำคอ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมขึ้นมาตามไรผมบริเวณขมับและท้ายทอยอย่างผิดสังเกต ทั้งที่ส่วนอื่นของร่างกายกลับรู้สึกเย็นเยียบ
“ใจ... ใจเต้นเร็วมาก... แล้วก็เจ็บแปลบๆ ที่ท้ายทอย... ปวดร้าวลงคอ...” แพรพยายามบอกอาการเสียงแผ่ว ก่อนที่เพื่อนจะรีบกดหยุดลู่วิ่งและพยุงเธอออกไปจากโซนออกกำลังกายอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก เสียงล้อเตียงฉุกเฉินก็ดังแกรกเข้ามาในห้อง ER อีกครั้ง พร้อมกับร่างของแพรที่ถูกนำส่งมาด้วยความเร่งรีบ
บทที่ 2 – ตรวจร่างกายและสัญญาณที่ซ่อนอยู่
หมอภูผาก้าวเข้ามาที่เตียงฉุกเฉิน สายตาสำรวจหญิงสาวที่นอนอยู่ตรงหน้า แพรดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าซีดเซียว แต่สิ่งที่หมอภูผาสังเกตเห็นทันทีคือเหงื่อที่ยังคงซึมอยู่บริเวณไรผมด้านข้างศีรษะของเธอ แม้ในห้องฉุกเฉินที่ไม่ได้ร้อนจัดนัก
พยาบาลรายงานค่าสัญญาณชีพ:
BP (นั่ง): 110/70 mmHg
HR (นั่ง): 78 bpm
เมื่อให้แพรลองยืนขึ้นเพื่อวัดความดันและชีพจรอีกครั้ง ค่าที่ได้ทำให้หมอภูผาขมวดคิ้วเล็กน้อย
BP (ยืน): 112/72 mmHg (ความดันแทบไม่เปลี่ยน)
HR (ยืน): 135 bpm ภายใน 3 นาที (ชีพจรพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว)
ผล ECG ที่ทำไปก่อนหน้านี้ปรากฏว่าปกติ ไม่มี ST abnormality ไม่มี PR prolongation แสดงว่าไม่มีภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือปัญหาการนำไฟฟ้าของหัวใจที่ร้ายแรง
แพรหายใจเร็วเล็กน้อย มือไม่สั่น ไม่มีไข้ และไม่มีจ้ำเลือดหรือคอบวมใดๆ แต่สิ่งที่ยังคงเป็นปริศนาคือ แม้จะนั่งพักแล้ว อัตราการเต้นของหัวใจของเธอก็ยังไม่ลดลงเร็วเท่าที่ควร และเหงื่อยังคงซึมจากรอยไรผมด้านข้างศีรษะอย่างต่อเนื่อง
บทที่ 3 – พี่ดาวกับการสังเกตที่ละเอียดอ่อน
พี่ดาว พยาบาลประจำ ER ผู้มีประสบการณ์และความเข้าใจในผู้ป่วยสูง เดินเข้ามาพร้อมผ้าเย็นชุบน้ำบิดหมาดๆ แล้วค่อยๆ เช็ดไปที่หน้าผากของแพรอย่างอ่อนโยน
“เหงื่อออกแค่ตรงศีรษะเหรอคะ?” พี่ดาวถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ชวนให้แพรรู้สึกผ่อนคลาย
แพรพยักหน้าช้าๆ “ค่ะ... เป็นแบบนี้บ่อยๆ เลยค่ะพี่ดาว เวลารู้สึกจะล้ม ใจสั่น แล้วก็ปวดร้าวลงท้ายทอยถึงต้นคอ”
“เป็นบ่อยไหมคะ?” พี่ดาวถามต่อ พลางสังเกตแววตาของแพรที่ดูเหนื่อยล้า
“บ่อยค่ะ... โดยเฉพาะช่วงสอบ หรือเวลาที่เดินเร็วๆ หรือขึ้นบันไดเยอะๆ ก็จะเป็นค่ะ” แพรตอบด้วยน้ำเสียงที่เริ่มมีแรงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้รับความใส่ใจ
บทที่ 4 – หมอภูผาเริ่มจับภาพรวม: ปริศนาของระบบอัตโนมัติ
หมอภูผายืนนิ่งอยู่ข้างเตียง สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอ monitor ที่แสดงค่าชีพจรของแพร เขากำลังประมวลผลข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ
อาการที่แพรเล่ามานั้นชวนให้นึกถึงภาวะ POTS (Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome) ซึ่งเป็นความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ
แต่สิ่งที่ชัดเจนและโดดเด่นกว่าในรายนี้คือสัญญาณของ sympathetic overactivation หรือการทำงานที่มากเกินไปของระบบประสาทซิมพาเทติก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการตอบสนองแบบ "สู้หรือหนี"
เขาไล่เรียงอาการในใจ:
HR พุ่งสูงอย่างรวดเร็วเมื่อเปลี่ยนท่า:
นี่คือลักษณะเด่นของ POTS
ไม่มีภาวะความดันตก (no hypotension):
ซึ่งต่างจาก POTS บางชนิด
และบ่งชี้ถึงการตอบสนองของร่างกายที่พยายามรักษาสมดุลความดันไว้
เหงื่อออกเฉพาะบริเวณศีรษะ:
นี่คือจุดที่น่าสนใจมาก บ่งบอกถึงการทำงานของต่อมเหงื่อที่ไม่สมดุล
ปวดร้าวลงคอ:
อาจเป็น myofascial trigger point
หรือจุดกดเจ็บในกล้ามเนื้อที่เกิดจากการหดเกร็งต่อเนื่องระหว่างภาวะใจสั่น
หรือภาวะ dysautonomia ที่ทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด
หมอภูผานึกย้อนไปถึงเคสหนึ่งในอดีตสมัยที่เขายังเป็นแพทย์ประจำบ้าน หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งที่เคยมาด้วยอาการเป็นลมบ่อยๆ ตรวจ EKG เท่าไหร่ก็ปกติ จนสุดท้ายได้วินิจฉัยว่าเป็น hyperadrenergic POTS ซึ่งมีอาการคล้ายแพรในหลายๆ จุด ความทรงจำนั้นทำให้ภาพรวมของอาการแพรชัดเจนขึ้นในความคิดของเขา
บทที่ 5 – วินิจฉัยที่ไม่ใช่ด้วย lab: การรับฟังที่สำคัญกว่าผลตรวจ
หมอภูผาหันไปหาแพรที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงฉุกเฉิน เขาเลือกใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายและปลอบโยน เพื่อให้แพรรู้สึกปลอดภัยและเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเธอ
“คุณไม่ได้แพนิค ไม่ได้เครียดไปเอง และหัวใจของคุณก็ไม่ได้ผิดปกติร้ายแรงอะไรครับ... แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหัวใจของคุณมันตอบสนองเร็วเกินกว่าที่ร่างกายจะรับทัน” หมอภูผาอธิบายอย่างใจเย็น
“โรคของคุณชื่อว่า POTS ครับ – Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome ซึ่งเป็นภาวะที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติเมื่อมีการเปลี่ยนท่าทาง โดยเฉพาะเวลายืน โดยเฉพาะชนิดที่มีระบบประสาทอัตโนมัติทำงานแรงกว่าปกติ เราเรียกว่า hyperadrenergic subtype”
แพรเงียบไปนาน เธอหลับตาลงช้าๆ เหมือนกำลังประมวลผลสิ่งที่ได้ยินมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอถูกบอกว่า “คิดมากไปเอง” หรือ “เครียดเกินไป” มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้... หมอคนนี้กลับบอกว่ามันคือ “โรค”
บทที่ 6 – ความเงียบในใจ: การยอมรับและก้าวต่อไป
เมื่อแพรลืมตาขึ้น ดวงตาของเธอมีแววของความโล่งใจปนความสับสน
“หมอเป็นคนแรก... ที่ไม่บอกว่า ‘หนูคิดมาก’ ค่ะ” เสียงของแพรสั่นเครือเล็กน้อย ราวกับน้ำตาที่อัดอั้นมานานกำลังจะไหลออกมา
หมอภูผาพยักหน้าเข้าใจ “คุณอาจจะคิดมากก็จริงครับ... แต่หัวใจคุณก็เต้นมากกว่าคนอื่นจริงๆ เช่นกัน” เขาย้ำเตือนอย่างอ่อนโยน
“ร่างกายของคุณกำลังบอกบางอย่างที่ใจคุณอาจจะยังไม่เข้าใจทั้งหมด การวินิจฉัยนี้จะช่วยให้เราเข้าใจมันมากขึ้น และหาวิธีดูแลมันได้อย่างถูกต้อง”
คำพูดของหมอภูผาไม่ได้ตัดสิน แต่กลับปลดปล่อยความรู้สึกผิดที่แพรแบกรับมานานออกไป เธอไม่ได้อ่อนแอ ไม่ได้คิดไปเอง แต่ร่างกายของเธอกำลังส่งเสียงขอความช่วยเหลือในแบบของมันเอง
บทเรียนที่ผู้อ่านควรจำ
จากเคสของแพร มีบทเรียนสำคัญหลายข้อที่ควรจำ:
- POTS (Postural Orthostatic Tachycardia Syndrome): คือภาวะที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติอย่างมากเวลายืน โดยที่ความดันโลหิตอาจไม่ลดลงหรือไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- พบในคนหนุ่มสาว: โดยเฉพาะผู้หญิง มักมีอาการหลังการติดเชื้อไวรัส การบาดเจ็บ หรือภาวะเครียด
- ประเภท Hyperadrenergic POTS: มักมีอาการเด่นคือ เหงื่อออกมาก (โดยเฉพาะบริเวณศีรษะ/คอ), ใจสั่นรุนแรง, ปวดท้ายทอย/ต้นคอ, วิตกกังวลง่าย
- การวินิจฉัย: ใช้การวัด HR/BP ในท่านั่งและท่ายืน (Orthostatic vital signs) และการสังเกตอาการเป็นหลัก ไม่ใช่แค่ดูผล ECG ที่มักจะปกติ
- การแยกโรค: ต้องแยกจาก panic attack, ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอื่นๆ และภาวะขาดน้ำ
- ความสำคัญของการรับฟัง: ผู้ป่วยมักถูกมองว่า “คิดมาก” หรือ “แพนิค” การรับฟังและวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงสำคัญมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
จุดเชื่อมตอนถัดไป
ก่อนหมอจะเขียน discharge summary และให้คำแนะนำการดูแลตัวเองกับแพรอย่างละเอียด
เสียงเรียกจากเตียงถัดไปดังขึ้น
“หมอคะ! หญิงวัย 62 ปี เป็นพาร์กินสัน หน้ามืดในห้องน้ำตอนเช้า มือสั่น เหงื่อไม่ออกเลยค่ะหมอ”
พี่ดาวพูดเบาๆ ขณะช่วยพยุงคนไข้สูงวัยรายใหม่
“รายนี้... น่าจะไม่ใช่แค่ระบบกล้ามเนื้อที่พัง แต่ระบบอัตโนมัติก็เริ่มตามไปแล้วเหมือนกัน”