กลับไปหน้าเรื่องหมอภูผา
EP.6 · วูบแรกในชีวิต

วูบแรกในชีวิต

เด็กชาย 13 ปีเป็นลมขณะเจาะเลือด มือเกร็ง ซีด ชีพจรช้า – ระหว่างที่บางคนบอกว่า “ก็แค่ขี้กลัว” ร่างกายกลับกำลังบอกเล่าเรื่องของ reflex ที่ซับซ้อนกว่านั้น

หมอภูผา – ER & Autonomic vasovagal syncope / hyperventilation / school blood-draw faint
“บางครั้ง… ความกลัวไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เห็น แต่เกิดจากสิ่งที่ร่างกายรู้สึกก่อนที่ใจจะรับรู้”
— นพ.ภูผา

บทที่ 1 – เสียงกรีดร้องจากวัยเยาว์: เมื่อความกลัวเข้าครอบงำ

หลังจากเผชิญหน้ากับศาสตราจารย์นายแพทย์อนันต์ หมอภูผาหันกลับมาที่แฟ้มคนไข้ เพื่อเขียนสรุปอาการของคุณภพอย่างละเอียด ทว่าความเงียบที่ควรจะสงบในห้องฉุกเฉิน ก็ถูกฉีกกระชากอีกครั้งด้วยเสียงกรีดร้องที่แหลมเล็กและเต็มไปด้วยความตื่นระหนก ราวกับมีบางสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น

“หมอคะ! มีเคสเด็กชายอายุ 13 ปี หมดสติขณะเจาะเลือดที่โรงเรียน มือเกร็ง ซีด แต่ไม่มีไข้ค่ะ!” เสียงพยาบาลรายงานอย่างเร่งรีบ น้ำเสียงบ่งบอกถึงความตกใจไม่แพ้กัน

ร่างของเด็กชายตัวเล็กๆ ถูกเข็นเข้ามาบนเตียงฉุกเฉิน ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับกระดาษ ไร้สีเลือด ริมฝีปากเป็นสีม่วงคล้ำ มือทั้งสองข้างเกร็งเข้าหากันจนเป็นรูปจีบอย่างผิดธรรมชาติ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ไม่ใช่ความเจ็บปวดจากการเจาะเลือด แต่เป็นความกลัวที่กัดกินจิตใจ

หมอภูผาเหลือบมอง Smartwatch ของเด็กชายที่ข้อมือ ซึ่งยังคงแสดงค่า HR (อัตราการเต้นของหัวใจ) ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นสำหรับเด็กวัยนี้อย่างชัดเจน

“นี่มัน reflex แบบคลาสสิกเลย” หมอภูผาพึมพำกับตัวเอง เขารู้สึกคุ้นเคยกับอาการแบบนี้ดี แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้

พี่ดาว พยาบาลประจำ ER ที่เดินตามหลังเวรเปลมา กระซิบเบาๆ ข้างหูหมอภูผาด้วยรอยยิ้มที่แฝงความเอ็นดู “เด็กคนนี้หน้าคล้ายหลานหมอเลยค่ะ…”

คำพูดนั้นทำให้หมอภูผาชะงักไปเล็กน้อย ภาพของหลานชายตัวเล็กๆ ที่กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่นผุดขึ้นมาในความคิด ทำให้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจยิ่งทวีคูณ

บทที่ 2 – การตรวจที่บอกเล่าเรื่องราว: สัญญาณที่ซ่อนเร้น

หมอภูผาเริ่มตรวจร่างกายเด็กชายอย่างรวดเร็วและใจเย็น มือของเขาสัมผัสที่ข้อมือเด็กเพื่อจับชีพจร พยาบาลช่วยต่อเครื่องวัดสัญญาณชีพอย่างคล่องแคล่ว:

BP (นั่ง): 95/60 mmHg
HR (นั่ง): 60 bpm
BP (ยืน): 88/55 mmHg (ความดันลดลงเล็กน้อย)
HR (ยืน): 65 bpm (ชีพจรยังคงช้าเมื่อเปลี่ยนท่า)

ไม่มีไข้ ไม่มีอาการชักเกร็งที่บ่งชี้ถึงโรคลมชัก และไม่มีอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ที่น่ากังวล ผล ECG ที่ทำไปก่อนหน้านี้ปรากฏว่าปกติ ไม่มี ST abnormality ไม่มี PR prolongation ซึ่งหมายความว่าหัวใจของเด็กชายไม่ได้มีปัญหาโครงสร้าง หรือการนำไฟฟ้าที่ร้ายแรง

ครูประจำชั้นที่มาด้วยเล่าว่า “น้อง ‘ต้น’ เป็นเด็กเรียนดีครับ แต่ขี้กลัวนิดหน่อย เวลาเจาะเลือดทีไร จะมีอาการแบบนี้ทุกครั้งเลยครับหมอ”

ต้นยังคงหายใจถี่ ดวงตาฉายแววหวาดกลัว มือที่เกร็งยังคงไม่คลาย หมอภูผาสังเกตเห็นรอยเข็มเล็กๆ ที่ข้อพับแขนของเด็กชาย ซึ่งเป็นจุดที่เพิ่งเจาะเลือดไป

บทที่ 3 – ปมขัดแย้งที่ปะทุ: เมื่อความเชื่อปะทะหลักฐาน

ขณะที่หมอภูผากำลังประมวลผลข้อมูลทั้งหมด ศ.นพ.อนันต์ก็เดินเข้ามาที่เตียงของต้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เขามองข้ามอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติที่หมอภูผากำลังพิจารณาอยู่ และกวาดสายตาไปที่อาการหายใจเร็วและมือเกร็งของเด็กชาย

“นี่มันก็แค่ Hyperventilation syndrome ในเด็กขี้กลัวเท่านั้นแหละภูผา!” ศ.นพ.อนันต์เอ่ยเสียงดังฟังชัด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่แยแสปนความรำคาญ

“อาการมันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่ ทั้งหายใจถี่ มือจีบ แขนขาชา ผิวเย็น พวกนี้เกิดจากการที่ร่างกายขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปมากเกินไป ทำให้เลือดเป็นด่าง”

เขาหยุดหายใจเล็กน้อยแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้ได้ยินทั่วห้อง “ให้เขาสูดหายใจใส่ถุงกระดาษ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง ไม่ต้องเสียเวลาตรวจอะไรซับซ้อนหรอก… อย่าทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่โดยไม่จำเป็น และทำให้แผนกเราต้องเปลืองทรัพยากร”

หมอภูผาเงยหน้าขึ้นมอง ศ.นพ.อนันต์ ด้วยสายตาที่มุ่งมั่น “แต่ศาสตราจารย์ครับ ชีพจรน้องยังต่ำอยู่เลย และมือยังเกร็งอยู่ นี่ไม่ใช่แค่ภาวะหายใจเร็วธรรมดาครับ”

“แล้วมันจะเป็นอะไรได้อีก? หัวใจก็ปกติ” ศ.นพ.อนันต์ถามกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ดวงตาคมกริบจ้องมองหมอภูผาอย่างท้าทาย

“นายจะบอกว่าเด็กคนนี้เป็นโรคหายากอะไรอีกงั้นรึ? ระวังจะวินิจฉัยเกินจริงจนคนไข้ตื่นตระหนกไปหมด และเสียชื่อเสียงของแผนกเราเปล่าๆ”

ความตึงเครียดแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ หมอภูผารู้ดีว่า ศ.นพ.อนันต์ไม่เชื่อในความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ที่ไม่มีผลแล็บชัดเจน และมักจะมองว่าอาการเหล่านี้เป็นเพียง “อาการทางจิต” หรือ “คิดไปเอง”

ซึ่งเป็นแนวคิดที่ขัดแย้งกับปรัชญาการแพทย์ของหมอภูผาอย่างสิ้นเชิง ความขัดแย้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการแพทย์ แต่ยังรวมถึงเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานที่หมอภูผาถูกมองว่า “หัวก้าวหน้าเกินไป” ในสายตาของ ศ.นพ.อนันต์ ผู้ยึดมั่นในกรอบเดิมๆ

บทที่ 4 – การวินิจฉัยที่ถูกมองข้าม: เสียงสะท้อนจากร่างกาย

หมอภูผาเลือกที่จะไม่โต้เถียงกับ ศ.นพ.อนันต์ ต่อหน้าผู้ป่วยและญาติ เขารู้ดีว่าการถกเถียงในตอนนี้จะยิ่งทำให้สถานการณ์ตึงเครียด และทำให้ต้นหวาดกลัวมากขึ้น

เขาหันไปหาต้น และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ต้นครับ ไม่ต้องกลัวนะ หมอเข้าใจว่าต้นรู้สึกยังไง”

หมอภูผาพยายามอธิบายให้ครูและต้นเข้าใจถึงลำดับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของต้นอย่างใจเย็น: “สิ่งที่เกิดขึ้นกับต้นคือภาวะ Vasovagal Syncope ครับ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่มากเกินไปของร่างกายต่อสิ่งกระตุ้นบางอย่าง เช่น ความกลัว ความเจ็บปวด หรือการเห็นเลือดหรือเข็มเจาะเลือด”

“เมื่อร่างกายต้นรู้สึกกลัวหรือเจ็บปวดมากๆ” หมอภูผาอธิบาย “ระบบประสาทอัตโนมัติจะทำงานผิดปกติ ทำให้หัวใจเต้นช้าลง และหลอดเลือดขยายตัวพร้อมกัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอชั่วขณะ เลยทำให้หน้ามืดเป็นลมไป”

นี่คือปฏิกิริยาของร่างกายที่พยายามปกป้องตัวเอง แต่กลับทำงานมากเกินไปจนเกิดอาการที่น่าตกใจ

หมอภูผาสั่งให้พยาบาลให้ต้นจิบน้ำเปล่าช้าๆ และให้นอนราบยกขาสูงขึ้นเล็กน้อย เพื่อช่วยให้เลือดไหลกลับสู่สมองได้ดีขึ้น

บทที่ 5 – บทเรียนที่ไม่ได้อยู่ในตำรา: ความเข้าใจที่เหนือกว่าการวินิจฉัย

ไม่นานนัก อาการของต้นก็เริ่มดีขึ้น มือที่เกร็งคลายออก ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย ชีพจรเริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติ

ต้นมองหมอภูผาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจและความขอบคุณ

“หมอครับ… ผมไม่ได้ขี้กลัวไปเองใช่ไหมครับ?” ต้นถามเสียงแผ่ว

หมอภูผาพยักหน้า “ไม่เลยครับต้น ร่างกายของต้นแค่ตอบสนองต่อความกลัวอย่างรุนแรงไปหน่อยเท่านั้นเอง”

เขาหันไปมอง ศ.นพ.อนันต์ ที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

“บางครั้งความกลัวไม่ได้เริ่มจากใจ” หมอภูผาพูดกับต้นและครู “แต่ใจคือสิ่งสุดท้ายที่ยอมรับว่าร่างกายผิดจังหวะไปก่อนแล้ว”

บทที่ 6 – บทเรียนที่ผู้อ่านควรจำ

จากเคสของต้น มีบทเรียนสำคัญที่ผู้อ่านควรรู้:

  • Vasovagal Syncope (Reflex Syncope): เป็นภาวะเป็นลมหมดสติชั่วคราวที่พบบ่อย เกิดจากปฏิกิริยาตอบสนองที่มากเกินไปของระบบประสาทอัตโนมัติ ต่อสิ่งกระตุ้น เช่น ความกลัว ความเจ็บปวด การเห็นเลือด การฉีดวัคซีน
  • Hyperventilation Syndrome: สามารถเกิดขึ้นตามหลังภาวะ Vasovagal Syncope ได้ เมื่อความตกใจหรือวิตกกังวลกระตุ้นให้หายใจเร็วเกินไป
  • อาการ: มักมีอาการหน้ามืด ใจสั่น เหงื่อออก เย็นปลายมือปลายเท้า และอาจมีอาการมือเกร็ง (carpopedal spasm) ซึ่งเป็นผลจากภาวะหายใจเร็วเกินไป (hyperventilation) ที่เกิดตามมา
  • การวินิจฉัย: อาศัยประวัติอาการและสิ่งกระตุ้นที่ชัดเจน การตรวจร่างกายและ ECG มักปกติ
  • การรักษาเบื้องต้น: ให้นอนราบยกขาสูง จิบน้ำเปล่าช้าๆ และปลอบโยนให้คลายความกังวล
  • ความสำคัญของการแยกโรค: ต้องแยกจากภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือโรคร้ายแรงอื่นๆ
  • ความเข้าใจ: อาการนี้ไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอทางจิตใจ แต่เป็นปฏิกิริยาทางสรีรวิทยาของร่างกาย ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน

จุดเชื่อมตอนถัดไป

หลังจากที่ต้นอาการดีขึ้นและเตรียมตัวกลับบ้าน หมอภูผาก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน

เขาเห็น ศ.นพ.อนันต์ ยืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ไม่ไกลนัก เมื่อวางสาย ศ.นพ.อนันต์ก็หันมามองหมอภูผาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

“ภูผา! ฉันมีเคสที่นายอาจจะ ‘สนใจ’ เป็นพิเศษ” ศ.นพ.อนันต์เอ่ยเสียงเย็น

“ผู้ป่วยหญิงวัย 50 ปี มีอาการปวดหัวรุนแรงมาหลายวัน ตรวจทุกอย่างแล้วไม่เจออะไรผิดปกติ แต่เธอบอกว่า ‘ได้ยินเสียงดังในหัวตลอดเวลา’… ฉันว่าเธอคงเครียดจนหลอนไปแล้ว”

หมอภูผาขมวดคิ้วเล็กน้อย “เสียงดังในหัว…?”

“ใช่! เสียงเหมือน ‘น้ำตก’ หรือ ‘ลมพัด’ อะไรทำนองนั้น” ศ.นพ.อนันต์พูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “ฉันว่านายคงชอบเคสแบบนี้ เพราะมัน ‘ซับซ้อน’ ดีนี่”

หมอภูผาไม่ได้ตอบโต้ แต่ในใจเขากลับรู้สึกถึงความท้าทายบางอย่าง… นี่อาจไม่ใช่แค่เสียงที่เกิดจากความเครียด แต่เป็นเสียงที่ร่างกายพยายามส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ในแบบที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน

(โปรดติดตาม ตอนที่ 7 – เสียงกระซิบจากสมอง)